มาทำรู้จักคาถาแห่งการออกแบบ Design Thinking คืออะไร?

แนวทางการแก้ปัญหาที่เน้นการออกแบบด้วยความเข้าใจถึงความต้องการของผู้ใช้งาน เพื่อนำเสนอผลิตภัณฑ์หรือบริการที่มีคุณภาพและตอบโจทย์ได้เป็นอย่างดี แนวทางนี้ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นในวงการต่าง ๆ โดยเฉพาะในธุรกิจเทคโนโลยีและการออกแบบผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ที่ต้องการความคิดสร้างสรรค์เพื่อมอบประสบการณ์ที่ดีให้กับผู้ใช้
การออกแบบที่ใช้ Design Thinking คือการถ่ายทอดวิธีการที่มุ่งเน้นการพัฒนาต้นแบบ (Prototype) และการทดสอบกับกลุ่มเป้าหมาย เพื่อให้เห็นข้อดีข้อด้อยของผลิตภัณฑ์ก่อนการเปิดตัวจริง การทำงานด้วยแนวทางนี้คือการพาผู้ใช้งานเข้าสู่วิธีคิดและการทำงานเชิงสร้างสรรค์ โดยสามารถแบ่งออกเป็นกระบวนการหลายขั้นตอน เช่น การสำรวจและวิเคราะห์ ความคิดสร้างสรรค์ การสื่อสารและทดสอบ เป็นต้น
Design Thinking คือ วิธีการที่มีประโยชน์ในการเข้าใจพื้นฐานของผู้ใช้และความต้องการที่แท้จริง ดังนั้นการนำแนวทางนี้มาใช้งานอาจส่งผลดีต่อกลยุทธ์ทางธุรกิจในระยะยาว โดยสามารถลดค่าใช้จ่ายในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ไม่มีความต้องการในตลาด ในท้ายที่สุดจะทำให้สร้างผลิตภัณฑ์ที่มีความรักและสามารถสร้างประสบการณ์ที่ดีกว่ากับผู้ใช้งาน
Design Thinking ยังสามารถประยุกต์ใช้กับการออกแบบบริการหรือกระบวนการทางธุรกิจได้อีกด้วย ตัวอย่างเช่น ธุรกิจที่ให้บริการด้านการศึกษาสามารถประยุกต์ใช้ Design Thinking โดยการสำรวจความต้องการของนักเรียนและผู้ปกครอง เพื่อพัฒนาคอร์สการเรียนการสอนที่ตรงตามความต้องการจริง ๆ
สารบัญ
ทำไม Design Thinking คือ ตัวขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลง
Design Thinking คือ กระบวนการที่ได้รับความนิยมมากในยุคดิจิทัล เพราะเป็นเครื่องมือที่ช่วยให้เราเข้าใจปัญหาและสามารถสร้างนวัตกรรมใหม่ ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ในยุคที่เทคโนโลยีและความต้องการของผู้ใช้งานเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว การใช้ Design Thinking จะทำให้สามารถพัฒนาผลิตภัณฑ์ หรือบริการที่ตอบโจทย์ความต้องการที่แท้จริงได้ดียิ่งขึ้น
บทนำสู่ Design Thinking
Design Thinking ต้องเริ่มต้นจากการเข้าใจผู้ใช้งาน ก่อนอื่น เราต้องเห็นภาพชัดเจนว่าผู้ใช้งานมีปัญหาอะไร และเราจะสร้างทางเลือกในการแก้ปัญหานั้นได้อย่างไร โดยกระบวนการนี้มักจะแบ่งเป็น 5 ขั้นตอน ได้แก่ การ empathize (เข้าใจผู้ใช้), define (กำหนดปัญหา), ideate (สร้างแนวคิด), prototype (สร้างต้นแบบ), และ test (ทดสอบ) ขั้นตอนเหล่านี้จะนำเราไปสู่การค้นพบแนวทางที่เป็นนวัตกรรมและเหมาะสมกับความต้องการได้ดีที่สุด
ประโยชน์ที่องค์กรจะได้รับ
เมื่อองค์กรนำ Design Thinking มาใช้ จะสามารถรับประกันได้ว่าผลิตภัณฑ์หรือบริการที่จะออกสู่ตลาดนั้นมีความน่าสนใจและตรงกับสิ่งที่ผู้ใช้งานต้องการมากขึ้น อย่างเช่น บริษัทที่ทำการพัฒนาสินค้าใหม่ ๆ จะสามารถสร้าง prototypes เพื่อทดสอบกับกลุ่มเป้าหมายจริงก่อนที่จะนำสินค้าสู่ตลาดจริง
การทำเช่นนี้ไม่เพียงแต่ช่วยลดความเสี่ยง ยังเพิ่มโอกาสในการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ที่จะตอบรับกับผู้ใช้งานได้อย่างถูกต้องที่สุด นอกจากนี้ Design Thinking ยังช่วยส่งเสริมการทำงานเป็นทีมและเพิ่มความคิดสร้างสรรค์ในองค์การอีกด้วย
ความสำคัญในอนาคต
ความสำคัญของ Design Thinking ในอนาคตนั้นยิ่งมีเพิ่มขึ้น เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีและความต้องการของผู้ใช้งานจะมีการพัฒนาอย่างรวดเร็ว ทำให้การใช้ Design Thinking จะต้องถูกปรับเปลี่ยนและพัฒนาไปตามกระแสโลกที่เปลี่ยนแปลงไป
Design Thinking จึงไม่เพียงแต่เป็นเครื่องมือในการแก้ปัญหา แต่เป็นกรอบความคิดที่ช่วยให้องค์กรก้าวไปข้างหน้าอย่างมั่นคงในยุคที่มีการแข่งขันสูง การให้ความสำคัญกับผู้ใช้งานและทำความเข้าใจลึกซึ้งถึงปัญหาของพวกเขาจะทำให้องค์กรสร้างนวัตกรรมที่สามารถตอบโจทย์ตลาดได้อย่างรวดเร็วและมีคุณภาพมากยิ่งขึ้น
กระบวนการ Design Thinking 5 ขั้นตอน

Design Thinking คือกระบวนการที่มีแนวทางการออกแบบที่เน้นความเข้าถึงและการทำความเข้าใจในประสบการณ์ของผู้ใช้งาน โดยการทำงานนี้จะแบ่งออกเป็น 5 ขั้นตอนหลักที่สามารถใช้ในการแก้ปัญหาต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งได้แก่
1. Empathize – เข้าใจผู้ใช้
ในการเริ่มต้นกระบวนการ Design Thinking ขั้นตอนแรกคือการเข้าใจความรู้สึกและปัญหาของผู้ใช้ ซึ่งมีวิธีการที่หลากหลายในการทำเช่นนี้ เช่น การสัมภาษณ์ผู้ใช้ เดินทางไปยังสภาพแวดล้อมของพวกเขา หรือนั่งดูพวกเขาใช้งานผลิตภัณฑ์ การสร้างความเข้าใจนี้ช่วยให้เราเห็นมุมมองที่แท้จริงของปัญหาที่พวกเขากำลังเผชิญอยู่ ตัวอย่างเช่น, หากคุณทำงานในอุตสาหกรรมเทคโนโลยี อาจจะมีการสัมภาษณ์กลุ่มผู้ใช้เพื่อเข้าใจว่าปัญหาหลักในแอปพลิเคชันคืออะไร เช่น ความยากลำบากในการนำทางภายในแอป
2. Define – กำหนดปัญหา
หลังจากเข้าใจผู้ใช้แล้ว ขั้นตอนที่สองคือการตีความข้อมูลที่เรารวบรวมไว้เพื่อสร้างปัญหาให้ชัดเจน โดยเราจะต้องสังเคราะห์ข้อมูลที่ได้รับและออกแบบปัญหาที่เราอยากแก้ไข เช่น “ผู้ใช้ไม่สามารถค้นหาข้อมูลที่ต้องการในเวลาที่เร็วที่สุด” การระบุปัญหาช่วยให้ทุกคนในทีมมีความเข้าใจตรงกันเกี่ยวกับสถานการณ์ที่ต้องการพัฒนา
3. Ideate – ระดมความคิด
ในขั้นตอนนี้ ทีมจะเริ่มต้นการรวมความคิดอย่างสร้างสรรค์เพื่อหาทางออกสำหรับปัญหาที่ได้กำหนดไว้ ผ่านการใช้เทคนิคต่างๆ เช่น การระดมสมอง (Brainstorming) และการสร้างสรรค์แนวความคิดใหม่ ๆ ตัวอย่างเช่น ทีมงานอาจพิจารณาหลายรูปแบบในแอปพลิเคชันเพื่อช่วยให้ผู้ใช้ค้นหาข้อมูลได้ง่ายขึ้น โดยการใช้ฟีเจอร์การค้นหาที่ดียิ่งขึ้น หรือแม้กระทั่งการทำให้มีหมวดหมู่ที่ชัดเจนมากขึ้น
4. Prototype – ทำต้นแบบ
เมื่อได้แนวคิดที่น่าสนใจ ทีมจะต้องสร้างต้นแบบหรือ prototype ขึ้นมาเพื่อนำมาทดสอบ ที่นี่ ทีมงานสามารถเลือกที่จะสร้างต้นแบบที่มีความละเอียดสูงหรือแบบหยาบ ตัวอย่างเช่น การจัดทำแบบร่างของฟีเจอร์ใหม่ในแอปพลิเคชันหรือสร้างโมเดล 3D ของผลิตภัณฑ์ สิ่งสำคัญที่ต้องจำคือ prototype ควรจะง่ายต่อการปรับปรุงและเปลี่ยนแปลงตามความคิดเห็นที่จะได้ยินในขั้นตอนถัดไป
5. Test – ทดสอบ
ขั้นตอนสุดท้ายคือการทดสอบต้นแบบกับผู้ใช้เพื่อนำความคิดเห็นกลับมาใช้ในการปรับปรุงผลิตภัณฑ์ หลายครั้งที่การทดสอบจะนำมาซึ่งข้อมูลใหม่ที่เราจำเป็นต้องนำไปปรับปรุง เพื่อให้เราเข้าใจว่าผลิตภัณฑ์ที่เราสร้างขึ้นนั้นตอบสนองต่อความต้องการของผู้ใช้อย่างไร เช่น หลังจากการทดสอบ หากพบว่าผู้ใช้ยังมีปัญหาในการนำทาง อาจต้องย้อนกลับไปที่ขั้นตอนการออกแบบใหม่ เพื่อพัฒนาโซลูชันที่ดียิ่งขึ้น
ในการออกแบบโดยใช้ Design Thinking คือการเข้าใจว่าการออกแบบเป็นกระบวนการที่ไม่สิ้นสุด คุณอาจต้องวนกลับไปยังขั้นตอนก่อนหน้าเพื่อสร้างผลิตภัณฑ์ที่ตอบสนองต่อความต้องการของผู้ใช้ได้ดีขึ้นตลอดเวลา
Design Thinking คือแนวทางการออกแบบที่จำเป็นในการทำงานสร้างสรรค์
Design Thinking คือ แนวทางการแก้ปัญหาที่ได้รับความนิยมอย่างกว้างขวางในยุคดิจิทัล เนื่องจากให้ความสำคัญกับความเข้าใจในความต้องการของผู้ใช้งาน เพื่อสร้างผลิตภัณฑ์และบริการที่มีคุณภาพและตรงกับสิ่งที่ผู้ใช้งานต้องการมากที่สุด กระบวนการของ Design Thinking ประกอบด้วย 5 ขั้นตอนคือ การเข้าใจผู้ใช้ การกำหนดปัญหา การระดมความคิด การสร้างต้นแบบ และการทดสอบ ซึ่งทั้งหมดนี้จะช่วยให้ธุรกิจสามารถพัฒนานวัตกรรมที่สอดคล้องกับตลาดได้รวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น การประยุกต์ใช้แนวคิดนี้ไม่เพียงแต่ลดความเสี่ยงในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ แต่ยังเป็นตัวขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงที่มองข้ามไม่ได้ เนื่องจากเป็นการเปิดโอกาสให้ทั้งทีมมีส่วนร่วมในการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ และทำความเข้าใจลึกซึ้งถึงปัญหาและความต้องการของผู้ใช้งาน ซึ่งจะนำไปสู่ความสำเร็จในยุคที่มีการแข่งขันสูงและการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในปัจจุบัน
