รวมหนี้บัตรเครดิต ช่วยปลดหนี้ได้จริงไหม? วิธีทำและข้อควรรู้

หลายคนที่กำลังเจอกับภาระหนี้บัตรเครดิต อาจสงสัยว่า “รวมหนี้บัตรเครดิต ” จะช่วยให้ปลดหนี้ได้จริงหรือไม่? ซึ่งปัญหาหนี้บัตรเครดิตถือเป็นหนึ่งในภาระทางการเงินที่คนไทยจำนวนมากต้องเผชิญ ไม่ว่าจะเกิดจากการใช้จ่ายเกินตัว การผ่อนสินค้าหลายรายการพร้อมกัน หรือการหมุนเงินไม่ทัน จนทำให้หนี้ก้อนเล็ก ๆ สะสมกลายเป็นหนี้ก้อนใหญ่ในที่สุด หลายคนอาจกำลังมองหาทางออก และหนึ่งในทางเลือกที่ได้รับความสนใจมากขึ้นก็คือ “การรวมหนี้บัตรเครดิต” แต่การรวมหนี้นี้ช่วยปลดหนี้ได้จริงหรือไม่ และต้องระวังอะไรบ้าง? บทความนี้จะพาไปทำความเข้าใจให้รอบด้าน
สารบัญบทความ
รวมหนี้บัตรเครดิตคืออะไร?

การรวมหนี้บัตรเครดิต คือการนำหนี้จากหลาย ๆ ใบมารวมไว้กับสถาบันการเงินหรือธนาคารที่ให้บริการ สินเชื่อรวมหนี้บัตรเครดิต หรือ สินเชื่อส่วนบุคคลรวมหนี้ ซึ่งช่วยเปลี่ยนหนี้บัตรเครดิตที่ดอกเบี้ยสูง ให้กลายเป็นหนี้ก้อนเดียวที่มีอัตราดอกเบี้ยต่ำกว่า และมีระยะเวลาผ่อนชำระที่ยืดหยุ่นมากขึ้น
รวมหนี้บัตรเครดิตดีอย่างไร?
เมื่อพูดถึง “หนี้บัตรเครดิต” หลายคนมักนึกถึงภาระดอกเบี้ยที่สูงจนเหมือนกับการแบกก้อนหินหนัก ๆ ไว้บนบ่า ยิ่งมีหลายบัตร หลายยอดหนี้ ก็ยิ่งรู้สึกว่าการผ่อนจ่ายไม่เคยสิ้นสุด การรวมหนี้จึงกลายเป็นอีกหนึ่ง “เครื่องมือ” ที่เข้ามาช่วยจัดการหนี้ให้ง่ายขึ้น โดยเฉพาะผู้ที่ต้องการความชัดเจนในการวางแผนการเงิน และอยากมีโอกาสปลดหนี้ให้เร็วกว่าเดิม ลองมาดูกันว่า การรวมหนี้บัตรเครดิตมีข้อดีอะไรบ้าง
1. ดอกเบี้ยลดลง
บัตรเครดิตทั่วไปมีอัตราดอกเบี้ยสูง เฉลี่ยประมาณ 18–25% ต่อปี ซึ่งหากผู้ถือบัตรชำระเพียงขั้นต่ำ ดอกเบี้ยจะทบต้นอย่างรวดเร็ว การเปลี่ยนจากการผ่อนบัตรเครดิตหลายใบ มาใช้สินเชื่อส่วนบุคคลรวมหนี้ ทำให้ดอกเบี้ยที่ต้องจ่ายถูกลงทันที เพราะส่วนใหญ่ธนาคารมักเสนออัตราดอกเบี้ยเพียง 9–15% ต่อปี ความต่างนี้อาจช่วยประหยัดเงินดอกเบี้ยได้หลายหมื่นบาทในระยะยาว
2. จ่ายก้อนเดียว สบายใจกว่า
จากที่เคยมีบัตรเครดิต 3–5 ใบ ต้องนั่งจดวันครบกำหนดชำระทีละใบ หากพลาดก็เสี่ยงเสียประวัติเครดิต แต่เมื่อทำการ รวมหนี้บัตรเครดิตเป็นก้อนเดียวแล้ว จะเหลือเพียงเจ้าหนี้รายเดียว ทำให้ไม่สับสน ไม่ลืมชำระ และยังช่วยลดความเครียดจากการต้องตามชำระหลาย ๆ ที่
3. วางแผนได้ง่ายขึ้น
การรวมยอดหนี้บัตรเครดิตให้อยู่ที่เดียว ทำให้รู้ทันทีว่าต้องผ่อนเท่าไรต่อเดือน และหมดภายในกี่ปี ไม่ต้องเดาอีกต่อไปว่าจะมีดอกเบี้ยบานปลายหรือไม่ การมีกรอบชัดเจนเช่นนี้ช่วยให้ผู้กู้จัดการรายรับรายจ่ายได้ง่ายขึ้น เช่น หากรายได้เดือนละ 25,000 บาท ก็สามารถกำหนดได้ว่าควรผ่อน 5,000–7,000 บาทต่อเดือน เพื่อให้สอดคล้องกับแผนการเงิน
4. โอกาสปลดหนี้เร็วขึ้น
เมื่อดอกเบี้ยลดลง ภาระการผ่อนต่อเดือนก็เบาลง ส่งผลให้ผู้กู้มีโอกาสเหลือเงินเก็บหรือเงินก้อนเพื่อนำมาปิดหนี้ได้เร็วขึ้น ยกตัวอย่างเช่น หากคุณผ่อนบัตรเครดิตที่ดอกเบี้ย 20% ต่อปี อาจต้องใช้เวลาหลายปีจึงจะหมด แต่ถ้าเปลี่ยนเป็น การรวมหนี้สินเชื่อเป็นก้อนเดียวที่ดอกเบี้ยเพียง 12% ต่อปี ระยะเวลาในการปลดหนี้อาจสั้นลงเกือบครึ่งหนึ่ง
รวมหนี้บัตรเครดิตต้องระวังอะไรบ้าง?
หลายคนมองว่าการรวมหนี้บัตรเครดิตเป็นคำตอบที่จะช่วยให้หมดหนี้ได้เร็วขึ้น แต่ในความเป็นจริง วิธีนี้ไม่ใช่ “สูตรลับ” ที่ทำให้ปลดหนี้ได้ทันที หากขาดวินัยหรือไม่เข้าใจเงื่อนไขที่แท้จริง ก็อาจทำให้สถานการณ์การเงินยิ่งแย่ลงแทนที่จะดีขึ้น ดังนั้นก่อนที่จะขอรวมหนี้บัตรเครดิต ควรพิจารณาข้อควรระวังเหล่านี้ให้รอบด้าน
1. ค่าใช้จ่ายแฝง – แม้หลายสถาบันการเงินจะโฆษณาว่า “ไม่มีค่าธรรมเนียม” แต่ในความเป็นจริง การทำสินเชื่อรวมหนี้บัตรเครดิตอาจมีค่าใช้จ่ายบางอย่างที่ซ่อนอยู่ เช่น
- ค่าธรรมเนียมการโอนปิดหนี้
- ค่าอากรแสตมป์
- ค่าธรรมเนียมดำเนินการต่าง ๆ
หากไม่ได้อ่านรายละเอียดให้ครบถ้วน อาจทำให้เสียค่าใช้จ่ายมากกว่าที่คาดไว้
2. พฤติกรรมใช้เงิน – การรวมหนี้ปิดบัตรเครดิตจะช่วยได้ก็ต่อเมื่อคุณหยุดใช้บัตรเครดิตเดิมหรือควบคุมการใช้จ่ายอย่างเข้มงวด แต่ถ้ายังรูดซื้อสินค้าเหมือนเดิม หรือเปิดบัตรใหม่เพิ่ม หนี้ก้อนใหม่ก็จะตามมาซ้อนกับหนี้เก่า ผลลัพธ์คือภาระหนี้ที่หนักกว่าเดิม การรวมหนี้จึงต้องมาพร้อมการสร้างวินัยทางการเงินอย่างจริงจัง
3. เงื่อนไขของธนาคาร – แต่ละธนาคารมีเงื่อนไขแตกต่างกัน ทั้งอัตราดอกเบี้ย ระยะเวลาผ่อนชำระ เอกสารประกอบ หรือแม้กระทั่งเกณฑ์รายได้ขั้นต่ำ การไม่ศึกษาให้ดีอาจทำให้เลือกเงื่อนไขที่ไม่เหมาะกับตัวเอง เช่น เลือกดอกเบี้ยต่ำ แต่ระยะเวลาผ่อนยาวเกินไป จนดอกเบี้ยรวมตลอดสัญญาสูงกว่าที่คิดไว้
4. ภาระการผ่อนที่ยาวนาน – หลายคนเลือกผ่อนสบายด้วยการขยายเวลานาน ๆ เช่น 5–7 ปี แม้จะทำให้ยอดผ่อนต่อเดือนลดลง แต่หากรวมดอกเบี้ยทั้งหมดแล้วอาจจ่ายแพงกว่าการผ่อนระยะสั้น ดังนั้นผู้ที่อยากรวมหนี้บัตรเครดิต ต้องคำนวณเปรียบเทียบให้ดีว่าแบบไหนคุ้มค่ากว่า
5. ประวัติเครดิตบูโร – บางครั้งผู้ที่มีประวัติค้างชำระ หรือมีหนี้เกินกว่ารายได้ อาจถูกปฏิเสธสินเชื่อได้เช่นกัน ดังนั้นการตรวจสอบเครดิตบูโรล่วงหน้า และปรับปรุงประวัติการชำระให้ดีขึ้นก่อน การรวมหนี้บัตรเครดิตจะช่วยเพิ่มโอกาสในการอนุมัติ
ขั้นตอนและวิธีรวมหนี้บัตรเครดิต
ก่อนจะเริ่มทำการรวมหนี้บัตรเครดิต ผู้ที่สนใจควรมีภาพรวมหนี้ รายจ่าย และรายได้ของตัวเองให้ชัดเจน เพราะการรวมหนี้เป็นวิธีหนึ่งที่จะช่วยจัดการหนี้ให้เบาลง แต่ถ้าขาดการวางแผนก็อาจทำให้หนี้ยืดเยื้อหรือมีค่าใช้จ่ายแอบแฝงตามมา ก่อนอื่นมาดูขั้นตอนสำคัญและวิธีการรวมหนี้บัตรเครดิตกันก่อนเลย
- ตรวจสอบยอดหนี้และเงื่อนไขบัตรเครดิตทั้งหมด
- รวบรวมยอดหนี้จากบัตรเครดิตทุกใบที่มีอยู่ พร้อมอัตราดอกเบี้ย ค่าธรรมเนียมรายปี ค่าปรับ และยอดขั้นต่ำที่ต้องจ่ายต่อเดือน
- ตรวจสอบเงื่อนไขแต่ละบัตร เช่น วันครบกำหนดชำระ, วงเงินคงเหลือ, ประวัติการชำระย้อนหลัง ว่าเคยล่าช้าหรือไม่ เพราะข้อมูลเหล่านี้มีผลต่อเครดิตและการอนุมัติสินเชื่อรวมหนี้
- เลือกวิธีการรวมหนี้หรือธนาคารที่เหมาะสม
- เทียบข้อเสนอจากหลายธนาคารหรือสถาบันการเงิน: ดูอัตราดอกเบี้ยสินเชื่อรวมหนี้บัตรเครดิต, ระยะเวลาผ่อนชำระ และเงื่อนไขอื่น ๆ เช่น ค่าธรรมเนียมโอนปิดบัตร, ค่าจัดการวงเงิน
- พิจารณาว่าใช้สินเชื่อส่วนบุคคลรวมหนี้ หรือโอนยอดคงค้าง บัตรเครดิต (Balance Transfer) หรือใช้โปรแกรมรวมหนี้ (“Debt Consolidation Program”) ที่ธนาคารมีให้ เช่น TTB มีโปรแกรมรวมหนี้ที่ช่วยลดภาระจากอัตราดอกเบี้ยสูง และจัดการการผ่อนชำระให้ง่ายขึ้น
- ประเมินความสามารถในการชำระหนี้
- คำนวณรายได้สุทธิต่อเดือนหลังหักรายจ่ายประจำ เช่น ค่าน้ำ, ค่าไฟ, ค่าเช่า หรือผ่อนบ้าน/รถ ว่าเหลือเท่าไรที่สามารถผ่อนรวมหนี้ได้โดยไม่กระทบชีวิตประจำวัน
- ตั้งงบประมาณผ่อนชำระรายเดือนที่เหมาะสม ไม่ตั้งเยอะเกินไปจนอาจทำให้ขาดสภาพคล่อง หรือถ้าน้อยเกินไปก็ทำให้ระยะเวลาในการปลดหนี้ยาวเกินควร
- เตรียมเอกสารและยื่นขอรวมหนี้
- เอกสารพื้นฐาน เช่น บัตรประชาชน, สลิปเงินเดือน / หนังสือรับรองรายได้, รายการเดินบัญชีธนาคารย้อนหลัง (Bank Statement)
- เอกสารบัตรเครดิตทุกใบที่ต้องการรวมหนี้ เช่น ใบแจ้งยอดหนี้ ใบแจ้งดอกเบี้ย หรือสถานะบัญชี
- ยื่นคำขออย่างเป็นทางการกับธนาคารหรือผ่านแพลตฟอร์มเปรียบเทียบสินเชื่อ เช่น Refinn ซึ่งช่วยให้ผู้ใช้เปรียบเทียบเงื่อนไข ธนาคาร และอัตราดอกเบี้ยได้หลายเจ้าในที่เดียว แล้วตัดสินใจเลือก ผูกมัดกับเงื่อนไขที่เหมาะสมที่สุด
รวมหนี้เป็นก้อนเดียว ธนาคารไหนดี
คำถามยอดฮิตคือ “ธนาคารที่รวมหนี้บัตรเครดิตธนาคารไหนดี?” ความจริงแล้วไม่มีธนาคารไหนดีที่สุดสำหรับทุกคน เพราะขึ้นอยู่กับ
– รายได้ต่อเดือน
– วงเงินหนี้ที่ต้องการปิด
– ระยะเวลาที่อยากผ่อน
ปัจจุบันหลายธนาคาร เช่น กสิกรไทย ไทยพาณิชย์ กรุงศรี และธนาคารรัฐบางแห่ง ต่างก็มีโปรแกรมขอรวมหนี้บัตรเครดิตเพื่อช่วยเหลือลูกค้า แต่ละแห่งมีข้อดีต่างกัน
สิ่งที่ควรรู้ก่อนตัดสินใจรวมหนี้บัตรเครดิต
หลายคนที่มีปัญหาหนี้สินมักมองว่าการรวมหนี้บัตรเครดิตเป็นทางออกที่จะช่วยให้กลับมาหายใจหายคอได้สะดวกขึ้น แต่ก่อนจะก้าวเข้าสู่กระบวนการนี้ สิ่งสำคัญที่สุดคือการ “รู้เท่าทัน” และเตรียมตัวให้พร้อม เพราะไม่ใช่ทุกคนที่จะเหมาะสมกับสินเชื่อรวมหนี้บัตรเครดิต หรือโปรแกรมรวมหนี้บัตรเครดิตเป็นก้อนเดียว หากเข้าไปแบบไม่รอบคอบ อาจกลายเป็นภาระหนักกว่าเดิมได้ สิ่งที่ควรรู้และควรตรวจสอบให้ดี มีดังนี้
ต้องมีรายได้ประจำที่มั่นคง
ธนาคารหรือสถาบันการเงินจะพิจารณาความสามารถในการชำระหนี้เป็นหลัก ผู้ที่มีงานประจำ รายได้สม่ำเสมอ จะมีโอกาสได้รับการอนุมัติขอรวมหนี้บัตรเครดิตมากกว่าผู้ที่มีรายได้ไม่แน่นอน
ตรวจสอบเครดิตบูโร
หากมีประวัติค้างชำระบ่อย ๆ หรือมีการผิดนัดชำระหนี้ในอดีต จะทำให้โอกาสอนุมัติการรวมหนี้บัตรเครดิตลดลง ดังนั้นควรเช็กเครดิตบูโรล่วงหน้า และพยายามแก้ไขประวัติการชำระให้ดีขึ้น
เลือกเงื่อนไขที่เหมาะสม
การเลือกธนาคารรวมหนี้บัตรเครดิตต้องดูทั้งดอกเบี้ย ระยะเวลาผ่อน และยอดชำระต่อเดือน เพื่อไม่ให้ตึงเกินไป หรือยืดยาวจนดอกเบี้ยรวมสูงกว่าที่คิดไว้
วินัยทางการเงินคือสิ่งสำคัญที่สุด
การรวมหนี้บัตรเครดิตไว้ที่เดียวจะช่วยจัดการภาระได้จริง แต่ผลลัพธ์จะคุ้มค่า ก็ต่อเมื่อคุณไม่กลับไปก่อหนี้ใหม่ และใช้โอกาสนี้สร้างวินัยการเงินที่ยั่งยืน
สรุปแล้ว “การรวมหนี้” ไม่ใช่การลบหนี้ แต่คือการ “จัดระเบียบหนี้” เพื่อสร้างโอกาสในการปลดหนี้อย่างแท้จริง หากคุณวางแผนรอบคอบ มีวินัย และเลือกช่องทางที่เหมาะสม เช่น การใช้แพลตฟอร์มอย่าง Refinn เพื่อเปรียบเทียบข้อเสนอจากหลายธนาคาร ก็จะช่วยให้การ รวมหนี้บัตรเครดิตในปี 2568 เป็นไปอย่างมั่นใจและปลอดภัยมากขึ้น